วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โลชั่น "น้ำมันมะพร้าว" กลิ่นน้ำหอม (ความสุขในมวลดอกไม้) coconut oil body lotion กลิ่น happy in bloom สินค้าใหม่ล่าสุด คงคุณภาพเหมือนเดิม มาให้คุณ ๆ ได้ลองแล้วคะ


โลชั่น "น้ำมันมะพร้าว" กลิ่นน้ำหอม
coconut oil 
body lotion 
กลิ่น happy in bloom 
ความสุขในมวลดอกไม้


น้ำมันมะพร้าว...มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ดี และมีวิตามินอีจากธรรมชาติมาก ๆจึงได้นำมาเป็นส่วนผสมสำหรับโลชั่นบำรุงผิวคะ  แต่งกลิ่นด้วยน้ำหอมสูตรเข้มข้น เพื่อเอาใจผู้ที่ต้องการกลิ่นหอมผ่อนคลายและสดชื่นทั้งวัน  ใช้ได้ทั้งชายและหญิง  กลิ่นติดทนนาน  กลิ่นไม่หวานเกินไป และไม่ฉุนเกินไป

โลชั่นบำรุงผิว
ได้จากน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 100%
แต่งกลิ่นด้วยน้ำหอมสูตรเข้มข้นจากดอกไม้และผลไม้นานาชนิด
จนได้กลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเย้ายวนยั่วใจ
ขนาดบรรจุ 100 มล. จุกปั้มใช้งานง่าย
ราคา 250 บาท



               ใช้สำหรับทาบำรุงผิวหรือนวดผ่อนคลายด้วยโลชั่น    ด้วยวิตามินอีจากธรรมชาติใน น้ำมันมะพร้าว  สกัดเย็น 100%  ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มน่าสัมผัส ซึมซาบผิวได้ง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นหอมสดชื่น ผสมผสานกลิ่นจากดอกไม้ ,ผลไม้,พืชต่าง ๆ หลากชนิดเสมือนกลิ่นดอกไม้บานยามเช้า พร่างพราวด้วยหยาดน้ำค้าง  กลิ่นหอมประทับใจตั้งแต่สัมผัสเริ่มแรก  เป็นการผสมผสานความสดชื่น นุ่มนวล อบอุ่น  และความทันสมัยเอาไว้ด้วยกัน  กลิ่นที่นำมาเป็นส่วนผสม คือ กลิ่นทับทิม , ราสเบอร์รี่และพีช ผสมด้วยกลิ่นหัวใจหลักเพิ่มความเย้ายวนใจด้วยกลิ่นของดอกกุหลาบ , ดอกมะลิและลิลลี่ 


             ด้วยความหอมอบอวลจากกลิ่นอายของความสุข เหมาะสำหรับทุกคน ทุกอารมณ์ ผสมผสานความหอมของมวลดอกไม้หลากหลายชนิดที่เลือกสรรแล้ว กลิ่นหอมบางเบาของกลีบกุหลาบและมะลิชวนให้หลงใหลน่าสัมผัส ด้วยความหอมของราสเบอร์รี่และพีชที่ให้กลิ่นสดชื่น และเบาสบายเหมือนไอเย็นจากยอดเขา เสริมด้วยกลิ่นหวานซ่อนเปรี้ยวของทับทิม พร้อมเพิ่มความโดดเด่นเฉพาะของกลิ่นกุหลาบในกลิ่นตัวโน๊ตสุดท้าย


มาเติมความสุขด้วยความหอมที่ยาวนานตลอดวันกับโลชั่นกลิ่นความสุขในมวลดอกไม้สูตรเฉพาะของเราสิคะ  ที่จะทำให้หัวใจของคุณและคนข้าง ๆ เบ่งบานไม่รู้จบ ผู้ที่อยู่ใกล้พลอยได้กลิ่นสดชื่นและมีชีวิตชีวาตามไปด้วย



บทความมหัศจรรย์กลิ่นบำบัด

หลักการของอโรมาเธอราพีหรือกลิ่นบำบัด  คือ มนุษย์มีประสาทรับกลิ่นอยู่ในโพรงจมูก เมื่อกลิ่นต่างๆ ผ่านเข้ามาประสาทรับกลิ่นจะส่งสัญญาณไปสู่สมองส่วนควบคุมอารมณ์และความทรงจำ ในขณะที่อากาศจะผ่านไปยังปอดและเข้าสู่กระแสเลือดไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

หากหายใจเอาอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ เช่น ไอเสียรถยนตร์หรือควันบุหรี่ เข้าไป จะทำให้สารพิษที่ปนอยู่ในอากาศเสียนั้นตกค้างอยู่ในระบบทางเดินหายใจ และมีผลกระทบต่อระบบประสาท ทั้งยังทำให้ อารมณ์และความทรงจำแปรปรวนไปด้วย ประสาทรับกลิ่นก็เช่นเดียวกันที่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นเสียของมลพิษและสารเคมีอันตราย หรือกลิ่นดีที่มาจากธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการค้นคว้าวิจัยน้ำมันหอมระเหยที่ถูกสกัดจากพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดเพื่อหาคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับนำมาบำบัดรักษาโรคต่างๆ ซึ่งบางชนิดก็สามารถกำจัดแบคทีเรียได้ บางชนิดก็ช่วยแก้ภูมิแพ้ หรือช่วยกระชับผิวให้เต่งตึง ส่วนกลิ่นนั้นมีความสามารถในการผ่อนคลายความเครียดและทำให้จิตใจสงบหรือรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

สำหรับน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ในการบำบัดแบบอโรมาเธอราพี จะต้องมีความบริสุทธิ์สูง ซึ่งความบริสุทธิ์ของน้ำมันจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยตั้งแต่ ภูมิอากาศของสถานที่ปลูก, วิธีการปลูก, การดูแลรักษาปจนถึงการเก็บเกี่ยวและกระบวนการสกัดเอาน้ำมันหอมระเหย

วิธีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้เองก็มีหลายวิธี ทั้งการนวด, อาบ, ประคบ, การสูดดม, สูดไอน้ำ, การเผาอบห้องรวมถึงการผสมกับเครื่องหอมน้ำมันหอมและเครื่องสำอาง ซึ่งแต่ละวิธีต่างมีความเหมาะสมในการใช้แตกต่างกัน

โดยการนวด เป็นวิธีนิยมและได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะสรรพคุณของน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดจะสามารถช่วยบำบัดรักษาโรคได้เมื่อยาจะซึมผ่านผิวหนังจากการนวด ส่วนกลิ่นหอมจะช่วยให้ประสาทสัมผัสรับกลิ่นปรับอารมณ์ให้ รู้สึกสบายขึ้นไปพร้อมๆ กัน

อโรมาเธอราพีหอมบำบัดโรคอีกวิธีที่ได้รับความนิยมในวงกว้างคือ การสูดดม ซึ่งเป็นการใช้กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยอย่างเดียวโดยไม่มีการสัมผัสทางผิวหนัง การสูดดมกลิ่นหอมนั้นสามารถทำได้ 2 วิธีคือ ใส่น้ำมันหอมระเหย 2-3 หยด ในชามที่เตรียมน้ำอุ่นไว้แล้วก้มลงสูดดมสัก 2-3 นาที หรือหยดน้ำมันหอมระเหย 1-2 หยด ในผ้าเช็ดหน้าแล้วสูดดม อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำมันหอมระเหยโดยตรง

นอกจากนี้ยังมีวิธีที่คล้ายกันคือ การสูดไอน้ำเนื่องจากน้ำมันระเหยบางชนิดสามารถฆ่าเชื้อโรคได้เมื่อสูดดมไอน้ำของน้ำมันหอมระเหยจะช่วยกำจัดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ โดยให้หยดน้ำมันหอมระเหย 2-4 หยด ลงในชามขนาดใหญ่ ซึ่งผสมน้ำร้อนไว้ จากนั้นใช้ผ้าคลุมและก้มหน้าลงเข้าไปอังและสูดไอน้ำร้อนผสมน้ำมันหอมระเหย พร้อมพักเป็นระยะๆ อนึ่งวิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวบางและไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคหอบหืด

ค้นหาร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ จากกลิ่นบำบัดในกลิ่น

น้ำมันหอมระเหยชนิดต่าง ๆ สามารถออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทและส่งผลไปยังความรู้สึก ลักษณะทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยเปรียบเหมือนกุญแจใจในการไขไปสู่ภายในโดยผ่านทางจมูก กลิ่นหอมของอโรมาเทอราปี Aromatherapy  สามารถส่งไปตามระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนที่เก็บความรู้สึกและอารมณ์ไว้ในระบบที่แตกเป็นแขนงในร่างกาย แล้วจะปล่อยไปสู่ระบบของส่วนที่มีผลกระทบต่อประสาท การสูดดมน้ำมันหอมระเหยค่าง ๆ จะช่วยปรับสภาพอารมณ์ให้อยู่ในสภาวะคงที่และยังส่งผลต่อการรักษาส่วนต่าง ๆ ทีเกี่ยวกับร่างกายโดยเฉพาะช่วยลดความเครียด



ไม่เพียงแค่น้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่าง ๆ สามารถช่วยผ่อนคลายด้านจิตใจแล้วยังช่วยทางด้านร่างกายอีกด้วยน้ำมันหอมระเหยยังสามารถซึมเข้าทางผิวหนังได้ โดยมันจะส่งไปยังต่อมของเส้นขนโดยเดินทางผ่านตามเซลล์ต่าง ๆ และไปยังต่อมไขมัน  น้ำมันหอมยังสามารถทำให้ผิวหนังสะอาดและสดชื่นตลอดเวลา



ประโยชน์ที่ได้รับจากกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยของแต่ละกลิ่นนั้น ผสมผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดีเมื่อใช้กับสูตรต่างๆ  เปรียบเหมือนกับการสวดอ้อนวอนหรือการขอพรบางประการ อีกทั้งยังสามารถช่วยในเรื่องของความรู้สึกนึกคิด ซึ่งสามารถที่จะทำให้สมองมีความคิดสร้างสรรค์





อโรมาเทอราปี (Aromatherapy)  เป็นทั้งการสำรวจ  คิดค้นความสร้างสรรค์  และความรู้เชิงเทคนิคในแง่ปฏิบัติ  การสร้างสรรค์มาจากการเข้าใจคุณลักษณะของ น้ำมันหอมระเหย  ( Essential Oils ) และจินตนาการว่ากลิ่นที่มีความแตกต่างกัน  สามารถผสมผสานกลิ่นแปลกใหม่ได้อย่างไร  ในแง่วิทยาศาสตร์ส่วนประกอบน้ำมันหอมทางเคมีเหล่านี้ยังมีปฏิกิริยาต่อร่างกาย  จิตใจ  และจิตวิญญาณอีกด้วย

"ด้านจิตใจ"
ตัวอย่างหนึ่งของการใช้น้ำมันหอมระเหยที่สามารถลดความเครียดได้เป็นอย่างดี คือการหยดน้ำมันหอมระเหยคาโมไมล์  (Chamomile) ลงบนผ้าเช็ดหน้า 2-5 หยด และสูดดมเป็นประจำ เป็นเพราะว่าน้ำมันนี้ระเหยง่ายในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
นอกจากนั้ยังสามารถใช้ตะเกียง ซึ่งมีลักษณะส่วนบนเป็นถ้วยเซรามิคเล็ก ๆ ให้เติมน้ำมันหอมระเหยต่างๆ ผสมกับน้ำ และลนด้านล่างของถ้วยนั้นด้วยเทียนหรือหลอดไฟ เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา
จาการทดลองใช้น้ำมันหอมระเหยในบริเวณที่นั่งรอของคนไข้พบว่า ช่วยให้คนไข้มีความกระชุ่มกระชวย สดชื่น และเมื่อจุดไว้ในสำนักงาน ยังจะช่วยลดอาการง่วงซึมจากอาหารกลางวันได้อีกด้วย ทำให้มีพลังในการทำงาน ซึ่งส่วนมากจะใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่น Pepermint และกลิ่นมะนาว

"ด้านร่างกาย"
น้ำมันหอมระเหย สามารถใช้รักษาโรคด้วยวิธีการนวดได้ โดยการนำไปผสมในลูกประคบและผสมในการใช้ในการอบไอน้ำที่บริเวณใบหน้าและผสมในน้ำที่แช่ไว้สำหรับอาบ แต่น้ำมันหอมระเหยควรจะมีการทำให้เจือจางก่อนที่จะใช้ อีกทั้งน้ำมันหอมที่สกัดได้มาจากผัก เช่น  น้ำมันหอมระเหยที่สะกัดจากเมล็ด Almond และ Jojoba  สามารถประยุกต์ในการแช่น้ำไว้อาบและรักษาสุขภาพ โดยผสมให้เจือจางประมาณ 2-3% จะช่วยลดความตึงเครียดในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี
น้ำมันหอมนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกายและจิตใจได้แล้ว น้ำมันหอมระเหยยังมีประโยชน์ต่อผิวหนังอีกด้วย เพราะผิวหนังเป็นส่วนที่มีความสลับซับซ้อนและไวต่อความรู้สึก ผิวหนังยังเปรียบเสมือนเครื่องควบคุมระบบภายในนั้นเองและยังป้องกันตัวเราจากสิ่งอันตรายภายนอกและมลพิษต่าง ๆ หลายคนมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังอุดตัน เราอาจใช้น้ำมันกลิ่น Lavender ปรับสภาพความมันของผิวและขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนออกไป และยังสามารถช่วยบรรเทาและปรับสภาพผิวแห้งกลับมาชุ่มชื่น ซึ่งผิวแห้งเกิดจาการขาด Sebum (สารไขมันที่ขับออกจากต่อมผิวหนัง) มากกว่าปกติ  อาจเกิดจากการใช้ ครีมบำรุงผิวที่มีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหนัง แต่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยน้ำมันหอมระเหย

"ด้านจิตวิญญาณ"
ส่วนน้ำมันที่ได้จากกำยานนั้นได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่อดีตกาล  ชวยในการทำงานของความสัมพันธ์ระหว่างระบบภายในและภายนอก รวมทั้งกลิ่นหอมที่ได้จากขี้ผึ้งซึ่งแพร่กระจายตรงไปยังปอด สามารถกระตุ้นระบบของการทำงานต่างๆ รวมทั้งระบบการหายใจด้วย
น้ำมันหอมเป็นสิ่งที่มีค่ามากและให้ผลทางด้านบวกต่อการทำงานในแต่ละระบบในตัวเรา การบำบัดทางกลิ่นนั้นยังสามารถนำเข้ามาใช้กับทางวิทยาศาสตร์คือ สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตบนพื้นฐานของความสวยความงาม และมีผลถึงความซับซ้อนต่างๆ ของระบบ
บางกรณีก็ยังสามารถผลักดันให้เรานึกถึงเหตุการณ์และการมีชีวิตที่สดใสในวัยเด้ก และในอดีตได้อย่างแม่นยำ รวมถึงความไวต่อการรับกลิ่นนั้น ถือได้ว่าไม่ใช่เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล มันยังเป็นสิ่งซึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติที่เรียกได้ว่า "สิ่งที่สามารถยอมรับได้" เช่น ชนเผ่าหนึ่งในสมัยดึกดำบรรพ์ที่เกาะนิวกินี เมื่อเวลาที่พวกเขาต้องลาจากกัน พวกเขาจะปฏิบัติโดยการที่เอามือไปประสานไว้ที่ใต้รักแร้ของกันและกัน จากนั้นก็จะถูและสูดดมกลิ่นซึ่งกันและกัน
แต่ทางตรงกันข้ามในกาลสมัยหนึ่งของญี่ปุ่น บุคคลใดมีกลิ่นตัวแรงถือว่าเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติบางประการ จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ารับการคัดเลือกการเกณฑ์ทหาร

ในปัจจุบันน้ำมันหอมระเหยมีอยู่ตามท้องตลาดมากมายหลากชนิด ความลับและมนต์เสน่ห์ของน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้  หากเราทำความเข้าใจเรียนรู้สรรพคุณอย่างลึกซึ้งแล้ว ก็จะนำไปสุ่การใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณค่า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น